วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Learninglog


เทคนิคการสอนในชั้นเรียน
การสอนเด็กต่างระดับในห้องเรียนเดียวกัน (Multi Level Teaching)
ความหมาย
การสอนเด็กต่างระดับในห้องเรียนเดียวกัน หรือการสอนเรื่องเดียวกันให้แก่เด็กที่มีความสามารถต่างกันนี้ตามหลักปฏิบัติของครูผู้สอน ได้นำทฤษฎีการเรียนและความสามารถที่แตกต่างของแต่ละบุคคลของบลูม(Bloom) มาประยุกต์ใช้โดยสร้างบทเรียนเดียวกันให้เหมาะสมกับเด็กหลายระดับเนื่องจากเด็กแต่ละคนมิได้มีความสามารถเหมือนกันและเท่ากัน ครูผู้สอนจึงจะต้องจัดกิจกรรมให้หลากหลาย และให้เด็กทุกคนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนในแต่ละหน่วย มีโอกาสใช้ความสามารถต่าง ๆ ของคนเองอย่างเต็มที่
แนวคิดและทฤษฎี
1. ทฤษฎีของบลูม (Bloom's Theory of Learning) ได้แบ่งความสามารถในการเรียนรู้ของคนเป็น 6 ระดัง ดังนี้ ระดับที่ 1 ขั้นมีความรู้พื้นฐาน (Knowledge) ระดับที่ 2 ขั้นความเข้าใจ (Comprehension) ระดับที่ 3 ขั้นนำไปใช้ Application) ระดับที่ 4 ขั้นวิเคราะห์ความรู้ (Analysis) ระดับที่ 5 ขั้นสังเคราะห์ (Synthesis) ระดับที่ 6 ขั้นประเมินผล (Evaluation)
การประยุกต์ใช้ในทฤษฎีของ่บลูม ตามทฤษฎีนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเด็กที่มีความสามารถต่างกันในห้องเรียนเดียวกันได้โดยการสอนเรื่องเดียวกันในหลายๆ ระดับตามความง่ายและยาก โดยจัดเป็นขั้นตอนตามลำดับอาจแบ่งเป็น ระดับ 1-2, ระดับ 3-4 และระดับ 5-6 ซึ่งการสอนเช่นนี้คงจะต้องสังเกตพฤติกรรมเด็กพร้อมกับทำความเข้าใจเด็กเป็นรายบุคคลด้วย 2. ทฤษฎีองค์ประกอบทางสติปัญญาของการ์ดเนอร์ (Gardner's Theory of Multiple Intelligence)การ์ดเนอร์ (Gardner : 1985) กล่าวว่า ความสามารถทางสติปัญญาของมนุษย์แบ่งเป็น 7 ด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1 ความสามารถทางดนตรี (Musicle) ด้านที่ 2 ความสามารถทางภาษา (Linguistic) ด้านที่ 3 ความสามารถทางการรับรู้โดยการสัมผัส (Kinesthetic) ด้านที่ 4 ความสามารถทางคณิตศาสตร์ (Mathematical) ด้านที่ 5 ความสามารถทางการกะระยะพื้นที่ (Spatial) ด้านที่ 6 ความสามารถทางด้านศีลธรรมจรรยา (Moralistic) ด้านที่ 7 ความสามารถทางด้านสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal) มนุษย์ทุกคนมิใช่จะต้องมีความสามารถในทุกๆ ด้านตามที่กล่าวมาแล้ว บางคนอาจถนัดในเรื่องเดียว บางคนอาจมีความถนัดสองด้าน หรือบางคนอาจมีความสามารถหลายๆ ด้านรวมกันก็ได้





การจำแนกจุดมุ่งหมายทางการศึกษาตามแนวคิดของบลูมและคณะ

( Taxonomy of Educational Objectives : Bloom and others )

Bloom และคณะได้จำแนกจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมในการสอนออกเป็น 3 ด้าน คือ
1. ด้านพุทธิสัย ( Cognitive Domain ) เป็นจุดประสงค์ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนด้านปัญญา
( Intellectual Outcome ) คือ ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะการใช้ความคิด ( Thinking Skill ) ซึ่งสามารถจำแนกและจัดลำดับความสามารถทางปัญญาจากระดับพื้นฐานถึงระดับสูงได้ 6 ระดับ คือ
1.1 ความรู้ความจำ ( Knowledge ) เป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงขั้นความสามารถในการจดจำเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ ระลึกได้เมื่อต้องการนำมาใช้ได้แก่ ความรู้ที่เฉพาะเจาะจง ข้อเท็จจริง ความรู้เกี่ยวกับวิธีการหรือหลักการ เหตุการณ์ เป็นต้น
1.2 ความเข้าใจ ( Comprehension ) เป็นความสามารถในการใช้ความคิดเพื่อศึกษาเนื้อหาสาระต่าง ๆ ที่เคยเรียน โดยสามารถอธิบายด้วยคำพูดของตนเองหรืออาจจะสามารถแปลความหมาย ( Translation ) หรือตีความหมาย ( Interpretation ) และสามารถสรุปความและอ้างอิงต่อได้ในสิ่งที่ศึกษาได้
1.3 การนำความรู้มาใช้ ( Application ) เป็นความสามารถในการนำสิ่งที่เรียนรู้มาใช้ในชีวิตประจำวันหรือนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ที่ยังไม่เคยพบได้ โดยสามารถนำความรู้ของตนไปแก้ปัญหาหรือไปปรับวิธีการเก่าให้ดีกว่าเดิม
1.4 การวิเคราะห์ ( Analysis ) เป็นความสามารถในการใช้สมองแยกแยะสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ออกเป็นส่วนย่อยเพื่อค้นหาองค์ประกอบ โครงสร้าง หลักการหรือความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบย่อยต่าง ๆ ได้
1.5 การสังเคราะห์ ( Synthesis ) เป็นความสามารถในการนำข้อมูลจากองค์ประกอบย่อย ๆ มาผสมผสานเพื่อให้เป็นภาพที่สมบูรณ์เกิดความกระจ่างหรือสร้างหรือออกแบบสิ่งใหม่ ๆ เรื่องใหม่ ๆ หรือหลักการและเกณฑ์ต่าง ๆ

2. ด้านจิตพิสัย ( Affective Domain ) เป็นจุดประสงค์ที่มุ่งพัฒนาพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในจิตใจของผู้เรียนเกี่ยวข้องกับความรู้สึกหรืออารมณ์ เช่น เจตคติ ( Attitude ) ค่านิยม ( Value ) ความสนใจ ( Interest ) และความซาบซึ้ง ( Appreciation ) ซึ่งอาจสังเกตได้จากท่าทีที่แสดงออกมา Krathwohl และคณะได้จัดแบ่งพฤติกรรมด้านความรู้สึกได้ 5 ระดับดังนี้
2.1 การรับรู้ ( Receiving or Attending ) เป็นขั้นแรกของความรู้สึกซึ่งเหมือนกับขั้นความรู้ความจำด้านพุทธิพิสัย ถือเป็นการสัมผัสเบื้องต้น เพียงได้รู้ได้เห็นเท่านั้นแต่ยังไม่ได้นำไปใช้อะไร ซึ่งการรับรู้แบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ
- การรู้จัก ( Awareness ) เป็นพฤติกรรมขั้นแรกที่คนรู้จักกับสิ่งเร้าว่ามันเป็นอะไร เป็นการรู้จักเพียงผิวเผินเท่านั้น
- การเต็มใจที่จะยอมรับสิ่งเร้า ( Willingness to Receive ) ขั้นนี้เป็นขั้นเต็มใจหรือพอใจที่จะรับรู้ มีความอ่อนโยนต่อสิ่งที่พบเห็น
- การควบคุมหรือคัดเลือกความสนใจที่มีต่อสิ่งเร้า ( Controlled or Selected Attention ) ความรู้สึกระดับนี้เป็นความรู้สึกต่อเนื่องจากขั้นที่แล้ว ที่แตกต่างออกไปคือความรู้สึกที่จะบอกได้ว่าอะไรควรเอาใจใส่ อะไรไม่ควรเอาใจใส่ เช่น ความรู้สึกชอบต่อสิ่งนี้อยากได้สิ่งนั้น จึงมองในลักษณะควบคุมหรือเลือกมากขึ้น
2.2 การตอบสนอง ( Responding ) ขั้นนี้เป็นขั้นที่มีจิตใจจดจ่อเริ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับสิ่งเร้าเกิดความสนใจ ชื่นชอบกิจกรรมหนึ่งมากกว่ากิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งปฏิกิริยาโต้ตอบนั้นเป็นกระบวนการ 3 ขั้นตอน คือ
- การยินยอมในการตอบสนอง ( Acquiscence in Responding ) เป็นความรู้สึกเชื่อฟังหรือยอมรับที่จะทำเอาแต่อาจจะไม่พอใจเท่าไรนัก เช่น การเชื่อฟังกฎเกณฑ์ที่กำหนด ความตั้งใจทำตามระเบียบ
- การเต็มใจตอบสนอง ( Willingness to Response ) เป็นระดับความรู้สึกเข้าร่วมกิจกรรมด้วยความตั้งใจ ความร่วมมือทำตามความต้องการหรือความสมัครใจ เช่น มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน
- การพึงพอใจที่ได้รับจากการตอบสนอง ( Satisfaction in Response ) เป็นลักษณะที่เห็นได้จากหลังการตอบสนองแล้ว
2.3 การเห็นคุณค่า ( Valuing ) ขั้นนี้เป็นความรู้สึกรู้คุณค่าและเริ่มผูกพันตนเองกับสิ่งนั้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ขั้น
- การยอมรับคุณค่า ( Acceptance of Value ) เป็นความพร้อมที่จะรับว่าสิ่งเร้ามีคุณค่าหรือมีประโยชน์อย่างไรเป็นการยอมรับทางอารมณ์
- การนิยมในคุณค่า ( Preference for a Value ) ในระดับนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับคุณค่า แต่เพิ่มความรู้สึกเอาใจใส่ในคุณค่าหรือค่านิยมนั้นเพิ่มขึ้นอีก
- การผูกพันในคุณค่า ( Commiting or Conviction ) เป็นความรู้สึกหรือความคิดฝังแน่นในคุณค่านั้น ซึ่งจิตพิสัยในขั้นนี้เป็นลักษณะของเจตคติ ( Attitude ) และความซาสบซึ้ง ( Appreciation ) ที่เห็นชัดเจน
2.4 การจัดระบบ ( Organization ) เป็นขั้นการจัดระบบค่านิยมหลายอย่างที่กระจัดกระจายเข้าเป็นหมวดหมู่และส่วนหนึ่งของความคิดที่มีความสัมพันธ์กันอย่างมีความหมายที่พอใจ โดยสามารถตัดสินได้ว่าอะไรมีคุณค่าที่สำคัญหรือมีบทบาทมากที่สุดและนำไปใช้เป็นประจำ ความรู้สึกระดับนี้แบ่งเป็น 2 อย่างคือ
- การสร้างมโนภาพของคุณค่า ( Conceptualization of Value System ) เป็นการจัดคุณค่าเรื่องต่าง ๆ ได้ อันเป็นผลจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้สึกมาแล้วมาเรียกชื่อใหม่กลายเป็นมโนภาพของคุณค่าใหม่
- การจัดระบบคุณค่าให้เป็นระเบียบ ( Organization of Value System ) เป็นการรวบรวมคุณค่าเข้าด้วยกันจนเห็นภาพทั้งหมดจนเป็นอุดมการณ์ทางความคิดของแต่ละบุคคล

2.5 การสร้างลักษณะนิสัย ( Characterization by a Value or Value Complex ) ขั้นนี้เป็นการผสมผสานระบบค่านิยมจนกลายเป็นความประพฤติหรือคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล ความรู้สึกระดับนี้แบ่งเป็น 2 ขั้นคือ
- การสรุปคุณค่าหรือค่านิยมในรูปใดรูปหนึ่ง ( Generalized Set ) เป็นระบบคุณค่าหรือค่านิยมที่เป็นผลให้มีการแสดงออกในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
- การสร้างลักษณะนิสัย ( Characterization ) เป็นผลรวมของความรู้สึกและการแสดงออกของแต่ละบุคคล

3. ด้านทักษะพิสัย ( Psychomotor Domain ) เป็นจุดประสงค์ที่มุ่งพัฒนาพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการกระทำ ( Doing ) ของผู้เรียนเกี่ยวกับทักษะความชำนาญโดยมุ่งพัฒนากล้ามเนื้อหรือวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่ง Dave ได้จัดแบ่งลำดับความชำนาญจากน้อยไปหามาก สามารถจัดแบ่งพฤติกรรมการฝึกทักษะปฏิบัติ
ต่าง ๆ ได้ 5 ระดับคือ
3.1 การเลียนแบบ ( Imitation ) เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงผลักดันภายในและการทำซ้ำ โดยการเริ่มจากกระทำที่ต้องใช้ความพยามยามทำตามแบบอย่างที่มีต้นแบบหรือสาธิตให้ดูขณะปฏิบัติ
3.2 การปฏิบัติหรือการจัดการกระทำ ( Manipulation ) เป็นความสามารถด้านการฝึกทักษะนั่นเอง โดยไม่มีแบบอย่างให้ดู
3.3 ความแม่นยำ ( Precision ) เป็นการฝึกฝนตามแบบโดยอาศัยความรู้ที่เคยเรียนมาก่อนและกระทำได้อย่างคล่องแคล่ว ดัดแปลงตามที่เห็นสมควรในเวลาที่เหมาะสมให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
3.4 การนำทักษะไปใช้ ( Articuration ) เป็นการรู้จักใช้ทักษะนั้น ๆ ในสถานการณ์ต่าง ๆ กันได้หลายรูปแบบอย่างต่อเนื่องด้วยความถูกต้องโดยใช้เวลาน้อยที่สุด
3.5 การฝึกปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมชาติ ( Naturalization ) เป็นการฝึกจนเกิดความชำนาญด้วยความถูกต้องและเป็นธรรมชาติ




ไม่มีความคิดเห็น: